Translate

วันอาทิตย์ที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

วัสดุวิศวกรรม(Materials Engineering)


วัสดุวิศวกรรม(Materials Engineering)
โลหะผสม  (Alloy )               โลหะและโลหะอัลลอยด์มีสมบัติที่เป็นประโยชน์ต่องานทางด้านวิศวกรรมเป็นอย่างมาก ดังนั้นจึงถูกใช้อย่าง กว้างขวางในงานออกแบบทางวิศวกรรมเหล็กและอัลลอยด์ของเหล็กโดยส่วนใหญ่คือเหล็กกล้าซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์
หลักที่ถูกผลิตขึ้นมากถึง  90 %  ของผลผลิตโลหะ ทั้งหมด เนื่องจากมีความแข็งแรง  ความทนต่อแรงกระแทก และ มีความเหนียวสูงนอกจากนี้ยังมีราคาถูกกว่า เมื่อเทียบกับโลหะอื่น ๆ
     อัลลอยด์ของเหล็กจะถูกเรียกว่า  ferrous  alloys  ส่วนอัลลอยด์โลหะอี่น ๆจะถูกเรียกว่า nonferrous  alloys   ในบทนี้จะได้กล่าวถึงกระบวนการ  โคลงสร้าง และสมบัติที่สำคัญของ  ferrous  และ  nonferrous  alloys  บางชนิด    
     โดยทั่วไปเหล็กกล้าประเภท (plain –carbon ) เป็นอัลลอยด์ที่ประกอบด้วยเหล็กและคาร์บอนที่มีปริมาณไม่เกิน  1.2 %  แต่ส่วนใหญ่ เหล็กมักจะมีปริมาณคาร์บอนน้อยกว่า  0.5  %  เหล็กกล้าส่วนใหญ่จะถูกผลิตขึ้น โดยการ ออกซิไดส์คาร์บอน และ สารเจือปนอื่นๆ ที่มีอยู่ในเหล็กถลุงให้มีปริมาณตามต้องการ
การเกิดเฟสไดอะแกรมของเหล็ก – เหล็กคาร์ไบด์
        โลหะผสมเหล็ก – คาร์บอนที่ประกอบด้วยคาร์บอนประมาณ 0.03 – 1.2 %  แมงกานีส 0.25 – 1.00 %  และธาตุอื่น ๆอีกเล็กน้อยจะเรียกว่า เหล็กกล้าประเภท plain – carbon ( plain – carbon steels) เมื่อโลหะผสม เหล็ก – คาร์บอนถูกทำให้เย็นลงอย่างช้า ๆ จะเกิดเฟสต่าง ๆ ขึ้นที่อุณหภูมิและสัดส่วนองค์ประกอบ ที่แตกต่างกัน
        ดังแสดงในเฟสไดอะแกรมของ  Fe –Fe3C  รูปที่  1  เฟสไดอะแกรมนี้เป็นไดอะแกรมที่ไม่ได้ อยู่ในสภาวะ สมดุลจริง เพราะสารประกอบเหล็กคาร์ไบด์  ( Fe3 C )  ที่เรียกว่า  cementite นี้ สามารถสลายตัวไปเป็นเหล็ก และคาร์บอน ( แกรไฟต์ )ได้ดังนั้นเร่าจึงอาจเรียกสารประกอบเหล็กคาร์ไบด์นี้ว่า  mettastable  phase  เฟส ไดอะแกรม ของ  Fe –Fe3C จะ ประกอบด้วย ferrite , Austenite () , Cementite ( Fe3 C ) และferrite
รูปที่  1    เฟสไดอะแกรม ของเหล็ก และเหล็กคาร์ไบด์
       ferrite   เฟสนี้เป็นสารละลายของแข็งแบบแทรกตัว (Interstitial solid solution )โดยที่อะตอมของ     คาร์บอนจะแทรกตัวอยู่ในโครงผลึกของเหล็กแบบ  BCC  คาร์บอนจะสามารถละลายใน  ferrite ได้เพียง เล็กน้อย  กล่าวคือ จะมีความสามารถในการละลาย Solid Solubility สูงสุดเพียง  0.02 %  ที่อุณหภูมิ  723 ํC และความสามารถในการละลายจะลดลงเป็น   0.005 % ที่อุณหภูมิ  0 ํC
      Austenite () เฟสนี้เป็นสารละลายของแข็งแบบแทรกตัว (Interstitial solid solution )โดยที่อะตอมของ คาร์บอนจะแทรกตัวอยู่ในโครงผลึกของเหล็ก Austenite ()  มีโครงสร้างผลึกแบบ  FCC   จะมี ความสามารถ ในการละลายของคาร์บอนสูงกว่า แบบ ferrite  ความสามารถในการละลายของคาร์บอนใน Austenite () จะมีค่าสูงสุดเท่ากับ 2.08 % ที่อุณหภูมิ  1148 ํC และลดลงเป็น  0.8 % ที่อุณหภูมิ  723 ํC
     Cementite ( Fe3 C ) สารประกอบ  Intermetallic  Fe3 C  จะเรียกว่า  Cementite  สารประกอบ cementite จะมีปริมาณของคาร์บอน 6.67 % และเหล็ก 93.3 % Cementite จะมีคุณสมบัติแข็งแต่ เปราะ
     ferrite   เป็นสารละลายของแข็งแบบแทรกตัว (Interstitial solid solution )  ของคาร์บอนในเหล็ก  หรือ ที่ถูกเรียกว่า  ferrite  มีโครงสร้างผลึกเป็นแบบ  BCC  และมีค่าคงที่ แลตทิซ  ( lattice constant ) ที่มากกว่า และจะมีความสามรถในการละลายสูงสุดของ คาร์บอนใน ferrite เท่ากับ0.09 % ที่อุณหภูมิ  1465 ํC
การแยกประเภทของเหล็กกล้า plain - carbon  ตามการเย็นตัวของเหล็ก
  1. เหล็กกล้าประเภท  Eutectoid  plain – carbon 
         เมื่อตัวอย่างเหล็กกล้าประเภท Eutectoid  plain – carbon ที่ประกอบด้วยคาร์บอน  0.8 % ถูกทำให้ร้อน ขึ้นจนกระทั่งถึงอุณหภูมิ  750 ํC  และให้คงอยู่  ณ  อุณหภูมิ นั้นเป็นระยะเวลาที่พอเหมาะ
            โครงสร้างของเหล็กกล้า จะเปลี่ยนเป็น  Austenite () ทั้งหมด ซึ่งจะเรียกว่า austenitizing  ถ้าเหล็กกล้า Eutectoid นี้ถูกทำให้เย็น ตัวลง อย่างช้าๆ จนอยู่เหนืออุณหภูมิ  Eutectoid  เล็กน้อยโครงสร้างของมันจะยัง คงเป็น Austenite ()
รูปที่  2  การเปลี่ยนแปลงของเหล็กกล้า  Eutectoid  0.8 %
จากจุด  a เมื่อทำให้เย็นตัวลงอีกจนกระทั่งมีอุณหภูมิต่ำกว่าอุณหภูมิ Eutectoid เล็กน้อยแล้ว Austenite () จะเปลี่ยนโครงสร้างไปเป็นโครงสร้าง Lamellar  ที่ประกอบด้วยเฟสของ ferrite และ Cementite( Fe3C )  สลับกันดังรูที่  2
2. เหล็กกล้าประเภท   hypoeutectoid    plain  carbon 
          ถ้าตัวอย่างเหล็กกล้าประเภท  plain – carbon  มีปริมาณคาร์บอน  0.4 %  ( hypoeutectoid steel ) ถูกให้ความร้อนจนกระทั่งมีอุณหภูมิ ประมาณ  900 ํC เป็นระยะเวลาที่เหมาะสม โครงสร้างของตัวอย่าง จะเปลี่ยนไปเป็น Austenite () ทั้งหมด  และเมื่อเหล็กกล้าค่อยๆถูกทำให้เย็นตัวลงอย่างช้าๆจนถึงจุด  d หรือ ประมาณ 775 ํC Proeutectoid  ferrite จะค่อยๆเกิดขึ้นเป็นนิวคลีไอ เล็กๆที่บริเวณขอบของเกรน Austenite() ถ้าอัลลอยด์นี้ถูกทำให้เย็นลงอย่างช้าๆต่อไปอีก จากอุณหภูมิ  d  ไปยัง  e  ตามรูปที่  3  ปริมาณของ  Proeutectoid  ferrite    จะเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องขณะที่เหล็กกล้าถูกทำให้เย็นตัวลงจากอุณหภูมิ d  ไปยัง  e  นั้นปริมาณคาร์บอนใน Austenite()  ที่เหล็กอยู่จะเพิ่มขึ้จาก  0.4  ไปเป็น  0.8 % และ เมื่อเหล็กกล้าถูกทำให้เย็น ตัวลงอีก ที่อุณหภูมิ  723 ํC  Austenite ที่เหลืออยู่นั่นจะเปลี่ยนไปเป็น  Pearlite
             โดยการเกิดปฏิกิริยา eutectoid  ( austenite  ferrite + Cementite  )  เฟสของ ferrite  ที่อยู่ในเฟสของ  Pearlite  จะเรียกว่า  eutectoid  ferrite  เพื่อให้แตกต่างกับ Proeutectoid  ferrite  ที่เกิดขึ้นครั้งแรกที่อุณหภูมิ  723 ํC
รูปที่  3   การเปลี่ยนแปลงเฟสของเหล็กกล้า  hypoeutectoid plain – carbon ที่มีปริมาณคาร์บอน 0.4 %
3. เหล็กกล้าประเภท  hypoeutectoid    plain - carbon 
     ถ้าตัวอย่างเหล็กกล้าประเภท  plain – carbon  มีปริมาณคาร์บอน  1.2 %  ( hypoeutectoid steel )ถูกให้ ความร้อนจนกระทั่งมีอุณหภูมิ ประมาณ  950 ํC ทิ้งไว้เป็นระยะเวลาที่ นานพอสมควรโครงสร้างของเหล็กกล้า จะเปลี่ยนไปเป็น austenite () หมด  (จุด  c ตามรูปที่  4 ) และ เมื่อเหล็กกล้าถูกทำให้เย็นตัวลง อย่างช้าๆ จน ถึงจุด d ตามรูปที่ 4 Proeutectoid Cementite จะค่อยๆเกิดขึ้นเป็นนิวคลีไอขึ้นและโตขึ้นที่บริเวณ รอบๆขอบ ของเกรนและเมื่อถูกทำให้เย็นลงอย่างช้าๆต่อไปอีกจนถึงจุด e ตามรูปที่ 4 ซึ่งอยู่เหนืออุณหภูมิ 723 ํC  เพียง เล็กน้อย Proeutectoid  Cementite  จะเกิดมากขึ้นที่บริเวณขอบเขตของเกรน austenite       ถ้าระบบเข้าใกล้สภาวะสมดุจและรักษาสภาวะสมดุจนั้นไว้โดยการทำให้เย็นตัวลงอย่างช้าๆปริมาณคาร์บอน ที่เหลืออยู่ใน  austenite  จะเปลี่ยนจาก  1.2  ไปเป็น 0.8 % และเมื่อมีเหล็กกล้าถูกทำให้เย็นตัวลงอย่างช้าๆ จนถึงอุณหภูมิ ต่ำกว่า 723 ํC  เพียงเล็กน้อย  austenite  ที่เหลืออยู่จะเปลี่ยนไปเป็น Pearlite โดยการเกิด ปฏิกิริยา eutectoid  ดังแสดงที่จุด f ในรูปที่  4  Cementite  ที่เกิดขึ้นระหว่างปฏิกิริยาeutectoid จะเรียกว่า  eutectoid  Cementite  เพื่อให้แตกต่างกับ Proeutectoid  เฟสของ Cementite  ที่เกิดขึ้นที่อุณหภูมิ เหนือกว่า อุณหภูมิ  723 ํC  และเช่นเดียวกันกับเฟสของ  ferrite  ที่เกิดขึ้นในระหว่าง ปฏิกิริยา eutectoid  จะถูกเรียกว่า eutectoid  ferrite
รูปที่ 4 การเปลี่ยนแปลงเฟสของเหล็กกล้า  hypoeutectoid plain – carbon ที่มีปริมาณคาร์บอน 1.2 % 
การแยกประเภทของเหล็กกล้า plain - carbon  ตามคุณสมบัติเชิงกลของเหล็ก
       เหล็กกล้า plain – carbon  ส่วนใหญ่จะถูกแยกประเภทโดยกำหนดด้วยตัวเลข  4  หลัก ตามหลักของ AISI – SAE (The American Iron and Steel Institute – the society for Aotomotive Engineers ) ตัวเลข  2  ตัวแรก คือ 10  ซึ่งหมายถึง เหล็กกล้าจำพวก  plain – carbon   ส่วน 2 ตัวหลัง คือ  ให้เอา 100 มาหาร แล้วจะได้ค่า ปริมาณ ร้อยละของคาร์บอนที่มีอยู่ในเหล็กกล้า  เช่น   AISI – SAE  = 1030  หมายถึง   เป็นเหล็กกล้า plain – carbon  ที่มีปริมาณ คาร์บอน  0.30 % เหล็กกล้า plain – carbon   ทั้งหมด มีธาตุ อัลลอยด์แมงกานีส อยู่ปริมาณ 0.30 – 0.95 %เพื่อเพิ่มความแข็งแรง นอกจากเหล็กกล้า plain – carbon  แล้วยังต้องมี ธาตุอื่นๆอีก เช่น กำมะถัน , ฟอสฟอรัส , ซิลิคอน เป็นต้น  คุณสมบัติเชิงกลของเหล็กกล้า plain – carbon  ในระบบ AISI – SAE บางชนิดได้ แสดงไว้ในตารางที่  1
ตารางที่ 1  คุณสมบัติเชิงกลของเหล็กกล้า plain – carbon
การนำเหล็กแต่ละประเภทไปใช้งาน 
        1. เหล็กกล้า plain – carbon   ที่มีปริมาณคาร์บอนต่ำ เหล็กจะมีความแข็งแรงน้อยแต่มีความเหนียวมาก    เหล็กกล้าเหล่านี้ มักจะถูกนำไปทำเป็นแผ่นขึ้นรูป ที่ใช้ทำกันชน และ ตัวถังรถยนต์
        2. เหล็กกล้า plain – carbon  มีปริมาณคาร์บอนในเหล็กกล้าเพิ่มขึ้น เหล็กจะมีความแข็งแรงเพิ่มขึ้น แต่ความเหนียวของเหล็กจะน้อยลง
        3. เหล็กกล้าที่มีปริมาณคาร์บอนปานกลาง ประมาณ 1020 – 1040 มักจะถูกนำไปทำ Shafts และ Gears
        4. เหล็กกล้าที่มีปริมาณคาร์บอนสูง ประมาณ 1060 – 10495  มักจะถูกนำไปทำ  Springs , die blocks , cutters , และ Shear blades
  การแยกประเภทเหล็กกล้าอัลลอยด์ 
                เหล็กกล้าอัลลอยด์บางชนิดอาจจะประกอบด้วยธาตุอัลลอยด์มากถึง 50 % แต่ก็ยังจัดว่าเป็นเหล็กกล้า อัลลอยด์ และ ที่จะกล่าวนี้เป็นเหล็กกล้า low – alloy ที่มีส่วนประกอบของธาตุอัลลอยด์อยู่ประมาณ 1 – 4  %  เท่านั้น จึงถือว่าเป็นอัลลอยด์อยู่ เหล็กเหล่านี้มักจะนำไปใช้ในงานอุตสาหกรรมรถยนต์ และ ก่อสร้างเหล็กกล้า อัลลอยด์ มักจะถูกกำหนดด้วยตัวเลข  4  หลัก ตามหลักของ AISI – SAE  ตัวเลข  2  ตัวแรกแทนธาตุอัลลอยด์
หลัก หรือ กลุ่มธาตุ ที่มีอยู่ในเหล็กกล้านั้น  ส่วน 2 ตัวหลัง คือ  ให้เอา 100 มาหาร แล้วจะได้ค่า ปริมาณ ร้อยละของคาร์บอนที่มีอยู่ในเหล็กกล้า ดังตาราง ที่  2
ตารางที่ 2 เหล็กกล้าอัลลอยด์ชนิดต่างๆ
การกระจายตัวของธาตุอัลลอยด์ในเหล็กกล้าอัลลอยด์
          การกระจายตัวของธาตุอัลลอยด์ในเหล็กกล้านั้นขึ้นอยู่กับว่าธาตุแต่ละตัวนั้นจะมีแนวโน้มการเกิดสาร
ประกอบและคาร์ไบด์อย่างไร  ตารางที่  3  ได้รวบรวมการกระจายตัวโดยประมาณของธาตุอัลลอยด์ทั้งหมด
ที่มีอยู่ในเหล็กกล้าอัลลอยด์
         นิกเกิลจะละลายอยู่ใน  ferrite    ของเหล็กกล้า  เพราะว่านิกเกิลมีแนวโน้มที่จะเกิดคาร์ไบด์น้อยกว่า เหล็กซิลิคอนจะรวมกับออกซิเจนที่มีอยู่ในเหล็กกล้าจำนวนหนึ่งเพื่อเกิดสารประกอบขึ้น  หรืออาจจะละลาย อยู่ใน   ferrite  ส่วนแมงกานีสที่เติมเข้าไปในเหล็กกล้าจะละลายใน   ferrite   แต่ก็มีแมงกานีสบางส่วนจะเกิด คาร์ไบด์ และมักจะแทรกเข้าไปใน  cementite   จะเกิดเป็น   (  Fe, Mn )3 C    โครเมียมซึ่งเป็นธาตุที่มีแนว โน้มจะเกิด คาร์ไบด์มากกว่าเหล็ก  จะขึ้นอยู่ระหว่าง  ferrite และเฟสของ carbide  การกระจายตัวของ โครเมียมจะขึ้นอยู่กับปริมาณ คาร์บอนที่มีอยู่
ตารางที่ 3 การกระจายตัวโดยประมาณของธาตุอัลลอยด์ในเหล็กกล้าอัลลอยด์
ผลของธาตุอัลลอยด์ ที่มีต่ออุณหภูมิ  eutectoid  ของเหล็กกล้า
      ธาตุอัลลอยด์ชนิดต่างๆ ที่เติมเข้าไปในเหล็กกล้าจะมีผลทำให้อุณหภูมิ eutectoid  ในเฟสไดอะแกรมของ
( Fe- Mn)3 C เพิ่มขึ้นหรือลดลงทั้งแมงกานีสและนิเกิลจะทำให้อุณหภูมิ eutectoid  ลดลงและจะทำหน้าที่เป็น
ธาตุที่ทำให้ austenite อยู่ตัว ธาตุเหล่านี้ จะเรียกว่า austenite – stabilizing  elements ซึ่งมีผลทำให้บริเวณ  austenite  ในเฟสไดอะแกรม ของ (  Fe - Mn )3 C  กว้างขึ้น
       ในเหล็กกล้าบางชนิดที่มีปริมาณ แมงกานีส และ นิเกิล ที่มากเพียงพอโครงสร้าง austenite  จะเกิดขึ้นที่ อุณหภูมิห้องได้ ส่วนธาตุที่มักจะเกิดอยู่ในรูปของคาร์ไบด์  มักจะทำให้อุณหภูมิ eutectoid  ในเฟสไดอะแกรม
ของ (  Fe - Mn )3 C  เพิ่มขึ้นและมีผลทำให้บริเวณ  austenite ลดลง ธาตุเหล่านี้ จะเรียกว่า ferrite - stabilizing  elements
รูปที่  5  ผลของปริมาณร้อยละของ ธาตุอัลลอยด์ที่มีต่ออุณหภูมิ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น